โครงสร้างด้านเทคโนโลยี-ดิจิทัล ติดปีกความสามารถในการแข่งขันประเทศไทย
โครงสร้างด้านเทคโนโลยี-ดิจิทัล ติดปีกความสามารถในการแข่งขันประเทศไทยสถาบันการจัดการนานาชาติ (IMD สวิตเซอร์แลนด์) รายงานการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันประเทศทั่วโลก ประจำปี 2565 ไทยรั้งอันดับ 33 ปลี้มคะแนนตัวชี้วัดปัจจัยย่อยโครงสร้างด้านเทคโนโลยีไต่ขึ้น 3 อันดับ
นายภุชพงค์ โนดไธสง เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า สถาบันการจัดการนานาชาติ (World Competitiveness Center แห่ง International Institute for Management Development หรือ IMD สวิตเซอร์แลนด์) เปิดเผยรายงานการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของ 63 เขตเศรษฐกิจทั่วโลกฉบับล่าสุด ประจำปี 2565 (IMD World Competitiveness Ranking 2022) ซึ่งใช้ข้อมูลจากการสำรวจความเห็นของผู้บริหาร ณ ไตรมาสแรก ปี 2565 และข้อมูลเชิงประจักษ์ (Hard data) ปี 2564 ในการประเมินเขตเศรษฐกิจต่าง ๆ4 ด้าน ได้แก่ 1) สมรรถนะทางเศรษฐกิจ (Economic Performance) 2) ประสิทธิภาพของภาครัฐ (Government Efficiency) 3) ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ (Business Efficiency) และ 4) โครงสร้าง พื้นฐาน (Infrastructure) โดยในภาพรวมไทยมีอันดับความสามารถในการแข่งขันอยู่ที่อันดับ 33 ลดลงมา 5 อันดับจากอันดับที่ 28 ในปีที่ผ่านมา สืบเนื่องจากผลกระทบการจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ภาวะทางเศรษฐกิจ หนี้สาธารณะของประเทศ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างแท้จริง รวมถึงปัจจัยด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม
ขณะที่ในส่วนของตัวชี้วัดโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ปัจจัยย่อยด้านโครงสร้างด้านเทคโนโลยี (Technological infrastructure) พบว่าในปี 2565 ประเทศไทยมีการขยับอันดับดีขึ้น 3 อันดับมาอยู่ที่อันดับ 34 จากอันดับที่ 37 เมื่อปี 2564 ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายของนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่เร่งรัดผลักดันให้อินเทอร์เน็ตเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานที่มีคุณภาพสูง เข้าถึงทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเท่าเทียม รวมถึงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศ ทั้งในส่วนการขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงด้วยสื่อสัญญาณสายเคเบิลใยแก้วนำแสง (Fiber Optic) จากโครงข่ายเดิมที่มีอยู่ไปยังพื้นที่ห่างไกล ภายใต้ชื่อโครงการเน็ตประชารัฐ ที่ปัจจุบันครอบคลุม 75,000 หมู่บ้านทั่วประเทศแล้ว และการเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็น ASEAN Digital Hub รวมทั้งการวางโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลจากผู้ให้บริการโครงข่าย 5G ของประเทศไทย โดยปัจจุบันสัญญาณ 5G ของประเทศไทยครอบคลุม 77 จังหวัด และครอบคลุมไม่น้อยกว่าร้อยละ 76 ของประชากร ตลอดจนการส่งเสริมการใช้ประโยชน์เทคโนโลยี 5G ทั้ง 6 ด้าน ได้แก่ ด้านเกษตร ด้านสาธารณสุข ด้านอุตสาหกรรม ด้านการศึกษา ด้านคมนาคม และด้านเมืองอัจฉริยะ
นายเอกพงษ์ หริ่มเจริญ รองเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากเขตเศรษฐกิจในสมาชิกประชาคมอาเซียนรวม 10 เขตเศรษฐกิจ มีเพียง 5 เขตเศรษฐกิจ คือ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ ที่ได้รับการจัดอันดับโดย IMDซึ่งเขตเศรษฐกิจที่มีอันดับความสามารถในการแข่งขันสูงสุดของอาเซียนในปี 2565 คือสิงคโปร์ รองลงมาคือ มาเลเซีย ไทย อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์ ตามลำดับ ทั้งนี้ ในปี 2565 เขตเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนส่วนใหญ่ มีอันดับความสามารถในการแข่งขันลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2564 โดยอินโดนีเซียและมาเลเซีย มีอันดับลดลงมากที่สุดถึง 7 อันดับ ตามมาด้วยไทย ลดลง 5 อันดับ ในขณะที่ ฟิลิปปินส์และสิงคโปร์ มีอันดับดีขึ้นจากปีก่อน 4 อันดับ และ 2 อันดับ ตามลำดับ
“การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย นับว่าเป็นความท้าทายในระยะยาว ที่ต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา และภาคประชาชน ทั้งนี้ หากประเทศไทยให้ความสำคัญและเร่งพัฒนาเรื่องการศึกษา (Education) การฝึกอบรม Reskill และ Upskill ให้แก่บุคลากรในวัยแรงงาน การส่งเสริมให้มีการพัฒนาและนำเทคโนโลยีนวัตกรรมมาใช้ และสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Life-long learning) ด้วยการสร้างปัจจัยแวดล้อม (Ecosystem) ที่ เหมาะสมต่อการพัฒนาและเรียนรู้ดังกล่าวในทุกช่วงวัยให้มากขึ้น จะทำให้ความสามารถในการแข่งขันในด้านต่าง ๆ ของประเทศพัฒนาขึ้นได้อีกมาก” นายภุชพงค์กล่าว