สดช. เปิดตัวโครงการ Digital Cultural Heritage กับภารกิจ ผลักดันวัฒนธรรมไทยสู่โลกดิจิทัล
เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2564 สํานักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ Digital Cultural Heritage หรือโครงการส่งเสริมการถ่ายทอดมรดก ทางวัฒนธรรมของชาติสู่รูปแบบดิจิทัล โดยมีภารกิจเพื่ออนุรักษามรดกวัฒนธรรมไทยให้อยู่ในรูปแบบที่ยั่งยืน
นายภุชพงค์ โนดไธสง เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า “มรดกทางวัฒนธรรม เป็นเอกลักษณ์และมีคุณค่าในการแสดงออกถึงรากฐานและความเป็นมาของชาติ ประเทศไทยมีเอกลักษณ์โดดเด่นในด้านมรดกทางวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษได้สร้างสรรค์ไว้ แต่ด้วยบริบทการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม และแนวโน้มการพัฒนา ทางเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดดในยุคปัจจุบัน ได้ก่อให้เกิดการสูญสลายของมรดกทางวัฒนธรรมของไทย สดช. ในฐานะหน่วยงาน ที่มีพันธกิจในการกําหนดทิศทางและวางยุทธศาสตร์การพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ และเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เห็นว่าการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมให้อยู่ในรูปแบบเนื้อหาดิจิทัล หรือ Digital Content อย่างสร้างสรรค์ ถือเป็นแนวทางหนึ่งในการธํารงรักษามรดกทางวัฒนธรรมของไทยให้สามารถคงอยู่ได้อย่างยั่งยืน และสามารถเข้าถึงได้อย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น จึงได้ดําเนินโครงการส่งเสริมการถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมของชาติสู่รูปแบบดิจิทัล (Digital Cultural Heritage) โดยการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุน พัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม”
โครงการ Digital Cultural Heritage แบ่งการดําเนินงานออกเป็น 2 ส่วนงานหลัก ประกอบด้วย การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการโดยผ่านกระบวนการห้องปฏิบัติการนโยบายสาธารณะ (Policy Lab) เพื่อเป็นข้อริเริ่มทางนโยบายในการกระตุ้นให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องให้ความสําคัญกับการถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมของชาติให้อยู่ในรูปแบบ Digital Content ซึ่งถือเป็นหนึ่งในแผนงานสําคัญตามนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (พ.ศ. 2561– 2580) ภายใต้ยุทธศาสตร์สร้างสังคมคุณภาพที่ทั่วถึงเท่าเทียมด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และแข่งขันเชิงสร้างสรรค์ (Hackathon) การส่งเสริมการถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมของชาติสู่รูปแบบดิจิทัล เพื่อเชิญชวนเยาวชนคนรุ่นใหม่ร่วมกัน สร้างสรรค์มรดกทางวัฒนธรรมให้อยู่ในรูปแบบ Digital Content และเผยแพร่ผ่าน Digital Platform อันเป็นการธํารงรักษามรดกทางวัฒนธรรมของชาติ และเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างจิตสํานึกให้คนรุ่นใหม่หวงแหนในมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ
ทั้งนี้ สดช. คาดหวังว่าการดําเนินโครงการดังกล่าว จะทําให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และภาคประชาชน มีความร่วมมือและมีส่วนร่วมในการออกแบบ และพัฒนาแนวทาง/มาตรการ และระบบนิเวศ (Ecosystem) ในการส่งเสริมการถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมของชาติให้อยู่ในรูปแบบ Digital Content ในรูปแบบที่ยั่งยืน รวมทั้งเป็นการปลูกฝังให้คนรุ่นใหม่มีจิตสํานึกหวงแหนและมีการธํารงรักษามรดกทางวัฒนธรรมของชาติให้คงอยู่ในรูปแบบที่ยั่งยืน ตลอดจนภาครัฐ ภาคเอกชน มีการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรด้าน Digital Content เพื่อรองรับอุตสาหกรรมดิจิทัล และอุตสาหกรรม สร้างสรรค์ของประเทศเพิ่มมากขึ้น
การดําเนินโครงการนี้ เกิดขึ้นจากการร่วมมือกันระหว่างหลายภาคส่วน ทั้งในส่วนของภาครัฐ ภาคเอกชนและ สถาบันการศึกษา ที่มีส่วนร่วมสนับสนุนดําเนินโครงการ โดยเฉพาะในส่วนของ บริษัท กูเกิล (ประเทศไทย) จํากัด ที่ร่วมเป็นพันธมิตรในการดําเนินโครงการในครั้งนี้ โดยเป็นผู้สนับสนุนด้านเทคโนโลยีสําหรับการจัดกิจกรรม รวมทั้งสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญเพื่อร่วมถ่ายทอดความรู้ และประสบการณ์ในกิจกรรมต่าง ๆ ตลอดโครงการ
นายจิระวัฒน์ ภูมิศรีแก้ว หัวหน้าฝ่ายรัฐกิจสัมพันธ์และความสัมพันธ์ภาครัฐ บริษัท Google (ประเทศไทย) จํากัด กล่าวว่า “Google มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่สํานักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) ได้จัดโครงการ Digital Cultural Heritage และบริษัทฯ ได้เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนโครงการนี้ ปัจจุบันในทุกภาคส่วนของสังคมได้มีการปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อให้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น เข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น การทํางานด้านศิลปวัฒนธรรมก็สามารถใช้ประโยชน์จาก ดิจิทัลได้เช่นเดียวกัน บริษัท Google (ประเทศไทย) ยินดีสนับสนุนโครงการ Digital Cultural Heritage อย่างเต็มที่ เพื่อเป็นแรงผลักดันให้คนรุ่นใหม่ได้เข้าถึงและเข้าใจศิลปวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่าของไทยและต่อยอดในการสร้างโอกาสและประโยชน์เพื่อเศรษฐกิจและสังคมที่ดีงามต่อไป”
บริษัท Google (ประเทศไทย) ได้เริ่มสนับสนุนการ นําเนื้อหาศิลปวัฒนธรรมของไทยเข้าสู่ระบบดิจิทัลผ่านแพลตฟอร์ม ของ Google Art and Culture ตั้งแต่ปี 2561 เช่น ในโครงการ Great and Good Friends ด้วยความร่วมมือกับพิพิธภัณฑ์ผ้า ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจําประเทศไทย และนิทรรศการ “วังหน้านฤมิต ในมิติแห่งการเวลา” ในการทํางานกับกรมศิลปากร และหอศิลป์มหาวิทยาลัยศิลปากร ในส่วนการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการโดยผ่านกระบวนการห้องปฏิบัติการนโยบายสาธารณะ (Policy Lab) นายสัญญา เศรษฐกิจพิทยากุล ที่ปรึกษาด้านนโยบายสาธารณะ โครงการส่งเสริมการถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ สู่รูปแบบดิจิทัล กล่าวว่า “ขณะนี้ได้คัดเลือกพื้นที่นําร่องแล้ว ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก หรือเมืองสองแคว เนื่องจากเป็นหนึ่งในพื้นที่ สําคัญของประเทศ ซึ่งมีมรดกทางวัฒนธรรรม (Cultural Heritage) ที่มีเรื่องราวที่เป็นเอกลักษณ์ ทั้งวัฒนธรรมในอดีตและ วัฒนธรรมร่วมสมัย”
การจัดกิจกรรม Policy Lab มุ่งหวังให้มีต้นแบบของการกําหนดและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะในยุคดิจิทัล ซึ่งต้อง สามารถสร้างคุณค่าได้จริง มีความคล่องตัว มีส่วนร่วมจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และมีความยั่งยืน โดยการดําเนินงานภายใต้โครงการฯ นี้ ได้อาศัยมรดกทางวัฒนธรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลมาเป็นแกนหลักในการดําเนินงาน เพื่อให้เป็นต้นแบบของการกําหนดและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ ในด้านการนํามรดกทางวัฒนธรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลมาสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคม ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากกิจกรรม Policy Lab ประกอบด้วย
- ยุทธศาสตร์และชุดของโครงการที่ควรดําเนินการ พร้อมหน่วยงานรับผิดชอบและแหล่งงบประมาณ เพื่อสร้างสรรค์ต่อยอดมรดกศิลปวัฒนธรรมนําร่องให้เกิดคุณค่าทางเศรษฐกิจ และสังคม โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล
- กลไกการกํากับดูแล เพื่อการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวไปสู่การปฏิบัติให้มีความยั่งยืน และ
- Public Dashboard เพื่อติดตามประเมินผล และถอดบทเรียนของการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวไปสู่การปรับปรุงและขยายผลอย่างต่อเนื่อง
“กิจกรรม Policy Lab ที่จัดขึ้นภายใต้โครงการนี้ มุ่งที่จะแก้ปัญหาของการจัดทําและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะของประเทศในด้านการนํามรดกทางวัฒนธรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลมาสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างเป็นรูปธรรม และมีความเข้มแข็งสามารถอยู่ด้วยตัวเองได้อย่างยั่งยืน จึงได้รับการตอบรับอย่างดีมากจากพื้นที่นําร่อง ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคการศึกษา และภาคเอกชนในพื้นที่” นายสัญญา เศรษฐกิจพิทยากุล กล่าว
ในส่วนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และแข่งขันเชิงสร้างสรรค์ (Hackathon) การส่งเสริมการถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมของชาติสู่รูปแบบดิจิทัล นั้น จัดขึ้นในชื่อว่า “Hackulture นวัต...วัฒนธรรม : เรียงร้อยวัฒนธรรมไทย...สู่โลกดิจิทัล” ในหัวข้อ “เห็นแต่ไม่เคยรู้” ได้เชิญชวนนิสิตนักศึกษา อายุระหว่าง 16-24 ปี ที่กําลังศึกษาอยู่ในระดับ ปวส. ปริญญาตรีหรือเทียบเท่า รวมทีม 4-6 คน แข่งขันกันถ่ายทอดเรื่องราวของมรดกวัฒนธรรมไทยทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น ผ่านรูปแบบดิจิทัลคอนเทนต์ รูปแบบใดก็ได้ ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมเงินรางวัลรวม 110,000 บาท มีผู้ส่งผลงานทั้งหมด 66 ทีมจากหลากหลายสถาบัน และในวันนี้มีการเปิดตัว 20 ทีมสุดท้ายที่ผ่านเข้ารอบ โดย 20 ทีมมีสมาชิกรวมกันทั้งหมด 98 คน มาจากหลากหลายสถาบัน ภาคกลาง กรุงเทพฯ 59 คน ภาคเหนือ 23 คน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 6 คน และภาคใต้ 10 คน โดยมีหัวข้อทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจนําไปผลิตเป็นดิจิทัลคอนเทนต์ เช่น นวัตกรรมแห่งขนมไทย เครื่องปั้นดินเผา รํามวยไทย มหัศจรรย์แห่งทองคํา ศิลปะไทยฝีมือช่างเพชรบุรี ส้มตํา รามเกียรติ์ ประเพณี การบวชควายจ่า เป็นต้น
โดยทั้ง 20 ทีมที่ผ่านเข้ารอบ จะเข้าสู่กิจกรรมค่ายฝึกอบรม (Boot Camp) ร่วมกัน ระหว่างวันที่ 29-31 ตุลาคมนี้ ซึ่งมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย เช่น การบรรยายพิเศษเปิด Hackulture Bootcamp ช่วง Inspiration Talk โดยท่านผู้หญิงสิริกิตติยา เจนเซน ในหัวข้อ Creative Storytelling เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนรุ่นใหม่ตระหนักถึงคุณค่า ของวัฒนธรรมไทย จากประสบการณ์หรือมุมมองของท่านผู้หญิงสิริกิติยาฯ นอกจากนั้น ยังมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากกูรูด้านการผลิตดิจิทัลคอนเทนต์อย่าง คุณมิ้นท์ มณฑล กสานติกุล หรือที่รู้จักกันในชื่อ I Roam Alone อีกด้วย หลังจากนั้น ทั้ง 20 ทีมจะสร้างสรรค์ผลงานจริงร่วมกับ Mentor หรือที่ปรึกษาประจํากลุ่มเพื่อผลิตผลงานจริงรอบสุดท้าย และจะตัดสิน พร้อมมอบรางวัลและจัดนิทรรศการในวันที่ 12 มกราคม 2565 ต่อไป